วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รายงานวิชาเทคโนโลยีเว็บ 2 เรื่อง


BLOG

Blog คืออะไร

      Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)

      ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง

      มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่เจ้าของบล็อกจะเป็นคนที่ถนัดในด้านไหน ก็มักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น

     และจุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง

      ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น

      ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
    

      เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ

      และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง

      สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

 

โครงสร้างของ Blog

      มาดูเรื่องกายวิภาคของ Blog กันดีกว่า ว่า blog นั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง จะได้รู้ว่าเราจะใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของ blog นั้นได้อย่างเต็มที่

1. ชื่อบล็อก (Blog Title)
ส่วนของ Blog Title นี้ก็จะเป็นชื่อบล็อกนั้น ๆ ครับ


2. แท็กไลน์ (Subtitle หรือ Tag line)
ตรงส่วนนี้จะเป็นคำจำกัดความของเว็บ หรือสโลแกนเก๋ ๆ ที่ใช้อธิบายถึงตัวบล็อกโดยรวม โดยตัวแท็กไลน์นี้ จะมีก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับชื่อบล็อกครับ


3. วันที่และเวลา (Date & Time Stamp)
เป็นวันที่ และบางทีอาจมีเวลากำกับอยู่ด้วย ตัววันที่และเวลานี้ จะเป็นตัวบอกว่าบทความในบล็อกนั้นเขียนขึ้นมาเมื่อไหร่ บางครั้งอาจมีวันที่ระบุอยู่ในส่วนของ comment ด้วย ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่า comment นั้นเขียนเข้ามาเมื่อไหร่เช่นกัน


4. ชื่อบทความ (Entry Title)
ชื่อเรื่องของบทความที่เขียนในบล็อก


5. ตัวเนื้อหาบทความ (Entry’s Main Body)
อาจเป็นตัวหนังสือ หรืออาจเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรืออนิเมชั่น เป็นต้น โดยส่วนประกอบเหล่านี้จะรวมเป็นส่วนเนื้อหาของบทความ


6. ชื่อผู้เขียน (Blog Author)
บางบล็อก อาจมีการระบุชื่อผู้เขียนไว้ในบล็อกด้วยครับ โดยตำแหน่งที่จะใส่ชื่อผู้เขียนนั้น สามารถไว้ที่ตำแหน่งใดก็ได้ เช่นด้านข้าง (sidebar) หรืออยู่ในตัวบทความก็ได้


7. คอมเม้นต์ (Comment tag)
เป็นลิงค์ที่ให้ผู้อ่านคลิกไปเพื่อกรอกคอมเม้นต์ให้กับบล็อกนั้น ๆ ได้


8. ลิงค์ถาวร (Permalink)
เรียกชื่อไทยแล้วเขิ้นเขิน เราสามารถเรียกทับศัพท์ก็ได้ครับว่า เพอร์มาลิ้งค์ เจ้าลิงค์ตัวนี้คือลิงค์ที่ไปหา url ของบทความนั้น ๆ โดยตรงครับ มีประโยชน์สำหรับ blogger คนอื่น ๆ ที่อยากจะทำลิงค์หาบทความของเราโดยตรง ก็จะสามารถหา permalink ได้อย่างง่ายดายครับ โดย url ของ permalink นี้จะไม่เปลี่ยนไปตามวันและเวลาเหมือน link ของหน้าแรกของบล็อกที่บทความจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ครับ นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่า ลิงค์ถาวร


9. ปฎิทิน (Calendar)
บล็อกบางแห่งอาจมีปฎิทินอยู่ด้วย โดยในปฎิทินนั้นสามารกคลิกตามวันที่ เพื่ออ่านบทความของวันที่นั้น ๆ ได้สะดวกครับ


10. บทความย้อนหลัง (Archives)
บทความเก่า หรือบทความย้อนหลัง อาจมีการจัดเตรียมไว้โดยเจ้าของบล็อก โดยบล็อกแต่ละแห่งอาจจัดเรียงบทความย้อนหลัง ไม่เหมือนกัน เช่นจัดเรียงรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน หรือจะ list บทความทั้งหมดออกมาเลยก็ได้


11. ลิงค์ไปยังเว็บอื่น (Links)
เป็นจุดเด่นและความสนุกของบล็อกอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียวครับ โดยบล็อกแต่ละแห่ง อาจมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นหลากหลายเว็บ บางครั้งเราสามารถเรียก link พวกนี้ว่า blogroll ก็ได้ครับ


12. RSS หรือ XML
ตัว RSS นี้อาจมีเตรียมไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับ Blogware หรือ Blog Host ที่เราเลือกใช้ เช่น WordPress หรือ MovableType นั้นจะมี RSS ลิงค์ไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ โดยเจ้า RSS Feed นี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงบทความของเราได้ง่ายขึ้น โดยการใช้โปรแกรมช่วยอ่าน Feed ได้ด้วย บางครั้งนักเขียน Blog คนอื่น ก็อาจใช้ RSS Feed นี้เพื่อประโยชน์ในการดึงข้อมูลไปแสดงในเว็บ หรือบล็อกของตนได้


 

7 เทคนิคของการสร้าง Blog

ถ้าต้องการสร้างบล็อกให้เป็นอย่างมืออาชีพ คุณต้องไม่ลืมที่จะใส่ใจในสิ่งเหล่านี้

1. ใส่ใจกับรูปแบบดีไซน์ของ blog
ลองสังเกตดูง่าย ๆ สำหรับบล็อกชั้นนำของโลก ต่างก็ไม่ได้ใช้ template แจกฟรีที่มีกันทั่วไป แต่บล็อกชั้นนำเหล่านี้ ต่างก็ออกแบบดีไซน์ของบล็อกขึ้นมาเองทั้งหมด ทำให้บล็อกนั้นดูมีความแตกต่าง และมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น


2. ใส่ใจกับเนื้อหาของบล็อก
ก่อนที่คุณจะสร้างบล็อกขึ้นมาซักแห่งหนึ่ง ลองวางแนวทางของเนื้อหาในบล็อกดูก่อน ว่าเราต้องการจะนำเสนอบทความรูปแบบไหน เราจะมีวิธีนำเสนอไปในทางใด สิ่งเหล่านี้ จะทำให้คุณไม่หลุดประเด็น จากที่คุณตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เช่น บล็อกของ keng.com ต้องการจะเป็น บล็อกที่นำเสนอข้อมูลด้านการทำบล็อก ดังนั้นควรวางแนวทางไว้ว่า ต้องมีข่าวสารวงการบล็อกทั่วโลก มาให้ผู้อ่านได้อ่านกัน และยังต้องมีเทคนิคการทำบล็อกสำหรับมือใหม่ เช่นบทความเรื่อง “blog คืออะไร?” และมีเทคนิคสำหรับขั้นผู้เชี่ยวชาญ เช่นการใส่ Tag หรือการ Ping ไปยัง blog search engine เป็นต้น ตัวอย่างข้างต้น ดังเช่นตัวอย่างบทความ ที่ได้เขียนขึ้นมาเหล่านี้ เป็นแนวทาง ในการกำหนดทิศทางของบล็อก


3. ใส่ใจผู้อ่าน มากกว่าใส่ใจตัวเอง
เนื้อหาของบล็อกเป็นสิ่งที่ผู้อ่านใส่ใจใคร่รู้ ไม่ใช่ป้ายโฆษณาที่เราวางระเกะระกะในเว็บไซต์แต่อย่างใด ดังนั้นการจัดรูปแบบโฆษณา ต้องคำนึงถึงจิตใจผู้อ่านด้วย ว่าถ้าเป็นเราเอง ไปอ่านบล็อกคนอื่น แล้วมีโฆษณามาเกะกะในตัวบทความ เราชอบหรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าบทความของเราเขียนได้ดี ผู้อ่านก็จะมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก และอาจมีผู้อ่านมากขึ้นทุก ๆ วัน หลังจากนั้นแล้ว รายได้จากค่าโฆษณาจะตามมาเอง โดยที่เราไม่ต้องไปใส่โฆษณา แทรกลงไปในตัวบทความอีกด้วย


4. ใส่ใจ comment ที่มีเข้ามา
บล็อกสามารถใช้ประโยชน์ของการสื่อสาร ได้ด้วยระบบ comment ในตัวเอง ซึ่งโปรแกรมสร้างบล็อก (ฺBlogware) ส่วนใหญ่ มีระบบ comment ติดมาให้ด้วยอยู่แล้ว ลองใช้ระบบนี้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน comment การตอบ comment ต่าง ๆ บางครั้งเราอาจได้ประโยชน์จากการดึงประเด็นเด็ด ๆ จาก comment มาใช้เขียนบทความก็เป็นได้ ดังนั้น ทุก ๆ วันควรที่จะตรวจสอบว่ามี comment ใดเข้ามาบ้าง เพื่อที่จะได้ตอบได้ทันท่วงที เมื่อเราตอบได้เร็ว ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมในการสื่อสาร ทั้งสองฝ่ายก็แฮปปี้ และจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งถ้าเราตรวจสอบ comment ทุกวันก็คือ เราสามารถลบพวก spam comment ออกได้อย่างทันควันไงครับ


5. ใส่ใจในมาตรฐานของเว็บไซต์
ไม่มีใครรู้ว่าบล็อกของเราจะมีคนเข้ามาอ่านมากแค่ไหน บางครั้งเราอาจต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ หรือบางครั้งเราอาจต้องมีการปรับแต่งดีไซน์ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างที่เราไม่คาดฝัน ลองมองไปถึงการดีไซน์บล็อกด้วย มาตรฐานของเว็บไซต์ (Web Standard) ซึ่งจะสามารถทำให้บล็อกของเรา แสดงผลได้ดีในทุก ๆ browser และลองพยายามใช้ css ในทุก ๆ ส่วนที่คุณทำได้ เพราะตัว css นี้มีความยืดหยุ่นสูง ถ้าเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ต่าง ๆ เราจะได้ปรับเฉพาะแค่ไฟล์ css แทนที่จะไปแก้ html ในแต่ละหน้า ลองนึกดูว่า ถ้าวันใดที่มีบทความประมาณ 1,000 บทความ แต่ต้องมานั่งแก้สีของกรอบรูปภาพ ที่เคยเขียนโค๊ดใส่ border เข้าไปที่โค๊ดของรูปภาพโดยตรง แทนที่จะแก้ไขที่ไฟล์ css แค่บรรทัดเดียว


6. จัดตารางเวลาในการเขียนให้เหมาะสม
เมื่อตอนเริ่มเขียนบล็อก อาจใช้เวลาไม่มากนักในการเขียนบทความ แต่เมื่อเขียนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แน่นอนว่าคงต้องมีการกระทบกับเวลาการทำงานอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นลองจัดสรรเวลาสำหรับเขียนบล็อก อาจจะตื่นเช้าสักหน่อย ใช้เวลาในช่วงเช้าก่อนไปทำงาน เขียนบทความสักหนึ่งตอน หรือจะเขียนบทความในช่วงดึก ๆ ก่อนนอนก็ได้ ตรงนี้แล้วแต่คน ว่าจะสะดวกแบบไหน หรือมีเวลาว่างในตอนอื่น ๆ ลองปรับให้เหมาะสมกับตัวเอง


7. ใส่ใจเรื่องขนาดของภาพประกอบบทความ
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งฉันท์ใด บล็อกย่อมงามเพราะดีไซน์และภาพประกอบ ลองทำความรู้จักกับรูปแบบของไฟล์ภาพชนิดต่าง ๆ เช่นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .gif นั้น สามารถแสดงผลได้สูงสุด 256 สี แต่ไฟล์ภาพที่เป็นนามสกุล .jpg นั้นสามารถแสดงผลได้สูงสุด 16 ล้านสี ดังนั้นการเลือกที่จะเซฟภาพเป็นไฟล์นามสกุลอะไรนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะหากเลือกชนิดไฟล์ผิด ภาพที่ออกมาจะไม่สวย และไฟล์อาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ นั่นจะเป็นสิ่งที่กินทรัพยากรของระบบ และบล็อกมากขึ้นไปอีก เพราะถ้ามีผู้อ่านเยอะ แต่ต้องรอโหลดภาพที่ใหญ่ผิดปกติ ผู้อ่านบางท่านอาจจะเลิกรอเลย วิธีง่าย ๆ ในการเซฟภาพมีดังนี้ หากเป็นภาพถ่าย แนะนำให้ใช้เป็น jpg ส่วนถ้าเป็นไฟล์โลโก้ หรือภาพที่มีจำนวนสีน้อย ๆ ลองใช้เป็น gif ดู


 

ทำไมBlogถึงได้รับความนิยม

      ความสะดวกและง่ายดายของการเขียนบล็อก หรือสร้างบล็อกขึ้นมาสักหนึ่งแห่ง ทำให้ผู้คนนับล้าน ได้ทำการเขียนและเผยแพร่ความคิดของตนได้ง่าย และนอกเหนือจากนั้นยังมีความคิดเห็น อีกนับล้านจากคนอ่านที่เข้ามา Comment หรือตอบกลับในบล็อกเหล่านั้น ทำให้มีการโต้ตอบกันทางความคิด (interactive) ซึ่งตอบโจทย์เรื่องการสื่อสารระหว่างคนเขียนและคนอ่านได้เป็นอย่างดี

      ดังนั้น Blog จึงเปรียบเสมือนเป็นสื่ออีกชนิดหนึ่ง กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เราไม่สามารถมองข้ามมันได้ ด้วยความฉับไวของข้อมูลใน Blog อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ใหม่สด บางครั้ง ข้อมูลจาก Blog เป็นข้อมูลที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนอีกด้วย

     ที่สำคัญที่สุดคือ Blog ทำให้ผู้คนสามารถมีสิทธิ์มีเสียง และเขียนถึงเรื่องราวและบทความต่าง ๆ ได้ง่ายดังใจนึก

 

ประโยชน์ของBlogกับธุรกิจ

      ปัจจุบันนี้ บริษัทชั้นนำต่าง ๆ ของโลก ได้หันมาจับตามอง Blog ซึ่งเป็นรูปแบบของการ Marketing แบบใหม่ เนื่องจาก Blogger จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อ่าน Blog สูงมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายสามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง

      การที่ใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น Buzz Marketing บางบริษัทอาจเลือกเจ้าของ Blog ให้เป็น presenter ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่นเสนอสินค้า ให้เจ้าของ Blog นำไปเขียนวิจารณ์หรือเขียนถึงใน Blog ของตนเป็นต้น

      บางบริษัทใช้ Blog เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือ PR ข่าวสารขององค์กร โดยการใช้ Blog เพื่อประกาศข่าวสารนั้น จะดูมีความเป็นกันเองและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นมิตร เพราะเนื่องจากลูกค้าสามารถฝาก comment หรือสื่อสารกับเจ้าของ Blog ได้ทันที ทำให้บริษัทเอง จะได้ประโยชน์จากคำแนะนำที่ตรงไปตรงมาของลูกค้าอีกด้วย บริษัทชั้นนำต่างเลือกที่จะใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดกันแล้ว โดยบางแห่งใช้ทั้ง Blog อย่างเป็นทางการของบริษัท แถมยังเปิดให้พนักงานได้เขียน Blog ของตนเองอีกด้วย โดยวิธีการนี้นับเป็นการทำการตลาดโดยการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand) โดยทางอ้อมอีกด้วย

      นอกเหนือจากองค์กรธุรกิจแล้ว บุคคลที่ทำงานคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม สามารถใช้ Blog เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงาน หรือขายสินค้าของตนได้อีกด้วยเช่น ช่างภาพ, ศิลปิน, นักออกแบบ, นักเขียน, นักวาดการ์ตูน , ร้านค้า , ฯลฯ

 

อยากมี Blog ต้องทำอย่างไร

การที่เราจะมี blog ได้นั้น เราควรจะรู้จักกันก่อนว่า การทำ blog มีผู้ให้บริการให้เราสามารถสร้าง blog ได้หลายรูปแบบ โดยในแต่ละแบบนั้น มีความต้องการรู้ทางด้านการทำเว็บแตกต่างกันไป ว่ากันถึงแบบหลัก ๆ ก่อนดีกว่า

1. ผู้ให้บริการ Blog (Blog Hosting , Blog Provider)

หากคุณไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการทำเว็บ หรือไม่รู้จัก blog มาก่อน ก็สามารถมี blog เป็นของตัวเองได้ง่าย ๆ ครับ โดยผู้ให้บริการ blog จะมีการเตรียมระบบรองรับให้เราเรียบร้อยแล้ว โดยสิ่งที่ผู้ให้บริการ blog เตรียมให้เราก็คือ

- ชื่อโดเมน ที่ใช้เป็นที่อยู่ของ blog เรา โดยส่วนใหญ่จะเป็นชื่อแบบ sub domain คือเป็นชื่อในรูปแบบ myname.blogprovider.com เป็นต้น โดยคำว่า myname นั้นก็จะแทนที่ด้วยชื่อที่เราเลือกไว้ครับ ส่วนตรง blogprovider.com นั้นก็คือชื่อโดเมนของผู้ให้บริการ blog ของเรา

- ระบบ blog management สิ่งต่อมาที่ผู้ให้บริการ blog เตรียมไว้ให้คือ โปรแกรมการ update blog ต่าง ๆ ไงครับ เราไม่ต้องเขียนโปรแกรมการ update blog ด้วยตัวเอง แต่ทางผู้ให้บริการ จะมีระบบนี้เตรียมไว้ให้เราเลยครับ รวมทั้งพวกเทมเพลท หรือรูปแบบดีไซน์ของ blog ที่เตรียมไว้ให้เราใช้ได้เลย ไม่เสียเวลาออกแบบ

- พื้นที่เก็บ Blog โดยจำนวนพื้นที่ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เรานั้น มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของการทำ blog กับ ผู้ให้บริการ blog นั้น แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ให้บริการ บางแห่งฟรี บางแห่งเก็บค่าบริการรายเดือน ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็มีตัวอย่างเช่น Blogger.com , LiveJournal.com , TypePad.com เป็นต้น หากเป็นของไทย ก็ลองไปที่ BlogRevo หรือ exteen.com ดูได้

2. ใช้ Blog Software ติดตั้งใช้เอง

การใช้ Blog Software มาติดตั้งใช้เองนั้น ต้องการความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรม หรือติดตั้งโปรแกรมบ้าง แถมยังต้องมีพื้นฐานทางด้านการทำเว็บอีกด้วย เพราะเราอาจต้องทำการติดตั้ง หรือปรับแต่งดีไซน์ด้วยตัวเอง โดยข้อดีของการใช้ Blog Software มาติดตั้งเองคือ เราสามารถควบคุมการใช้บล็อกของเราได้เอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เขียนบล็อก ก็มีได้มากตามที่เราต้องการ หรือตามพื้นที่ของ web hosting ที่เราเช่าใช้อยู่

หากเราต้องการใช้ Blog Software เราจะต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ล่วงหน้าแล้ว นั่นคือ

- ชื่อโดเมนเนม อาจจะเป็นชื่อโดเมนที่เราจดทะเบียนโดเมนเนมไว้ หรือใช้ sub domain จากเว็บของเราที่มีอยู่แล้ว หากคุณยังไม่เคยมีเว็บมาก่อน ก็ต้องจดทะเบียนโดเมนเนมเป็นของตัวเองก่อน

- พื้นที่เว็บโฮสติ้ง คุณต้องเช่าพื้นที่เว็บโฮสติ้งไว้ให้พร้อมครับ โดยดูให้ตรงกับความต้องการของโปรแกรม blog software ที่เราจะใช้ เช่น php, cgi หรือ asp

- โปรแกรม Blog Software โปรแกรมเหล่านี้ มีทั้งแบบเสียสตางค์ซื้อมา เช่น MovableType หรือ หรือบางโปรแกรมก็ให้ใช้ได้ฟรี เช่น WordPress เป็นต้น

     

การใช้ Blog กับองค์กรธุรกิจ

      มีมากมายหลายเหตุผลที่ Blog จะก้าวเข้าสู่องค์กรของคุณ โดยใช้ Blog เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ และเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่าง องค์กรของคุณและกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ บริการ หรือธุรกิจของคุณ

และนี่คือตัวอย่างของการใช้ Blog ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจของคุณ

  • Blog ช่วยให้คุณก้าวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้น ๆ
    โดยคุณสามารถวาง Positioning ตัวเอง หรือบริษัทของคุณให้เป็นผู้นำในสายงานธุรกิจของคุณ 
  • ใช้ Blog เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทของคุณและลูกค้า
    เว็บบอร์ด อาจไม่ใช่ช่องทางที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อ Blog ก้าวเข้ามาแทนที่โดย ให้ความรู้สึกแบบเป็นส่วนตัว และเป็นมิตรกับลูกค้าได้มากกว่า และ Blog นี่เองที่เป็นช่องทางที่รวดเร็วที่สุด ที่คุณจะสามารถสื่อสารและโต้ตอบหรือคุยกับลูกค้าได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถใช้ Blog เพื่อนำเสนอเทคนิคการใช้งานผลิตภัณฑ์ของคุณ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นช่องทางในการรับ feedback จากลูกค้า 
  • ใช้ Blog เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทของคุณ กับสื่อต่าง ๆ
    เรียกได้ว่าเป็นความฝันของ PR Agency ต่าง ๆ เลยทีเดียวในการสร้างช่องทางหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้สื่อต่าง ๆ เช่นหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ ได้เข้ามาใน Blog ขององค์กร เพื่อเช็คดูว่าคุณมีข่าวใหม่ ๆ อะไรบ้าง เพราะจากเดิมที่สื่อต่าง ๆ จะรอคอยข่าว Press Release จากบริษัทของคุณ อาจจะมีบางสื่อที่ต้องการหาข่าวที่แตกต่างจากสำนักข่าวอื่น ๆ โดยการเข้ามาหาข่าวจาก Blog ของคุณ 
  • การใช้ Blog เพื่อประสานงานภายในองค์กร
    ใช้ Blog เป็นที่ทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ เช่นใช้เป็นพื้นที่ให้ทีมงานแต่ละคนของ Project นั้น ๆ เข้ามาทำ Brain Storming หรือ update ความคืบหน้าของโปรเจคท์ โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งทำ report ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ แทนการประสานงานต่าง ๆ ด้วยวิธีส่งอีเมล์หากัน ซึ่งการใช้ Blog มาแทนที่การใช้อีเมล์ ทำให้ไม่ต้องมานั่งค้นหาเมล์เก่า ๆ จากในโปรแกรมอย่าง outlook express เพราะ Blog สามารถอ่านบทความย้อนหลังได้ง่าย และสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ได้อย่างชัดเจน 
  • ใช้ Blog เพื่อบริหารจัดการข้อมูลความรู้ต่าง ๆ
    Blog มีประโยชน์ในทั้งสองทางคือทั้งผู้อ่าน Blog และผู้เขียน Blog โดยปกติแล้ว Blog เป็นช่องทางให้ผู้อ่านสามารถหาข้อมูลต่าง ๆ จาก Blog ของเราได้ง่าย โดยสามารถใช้เป็น knowledge base ภายในองค์กรต่าง ๆ ได้ แต่ในทางกลับกัน ผู้เขียน Blog หรือ Blogger ก็ต้องคอยหาข้อมูลมาเขียน ดังนั้น Blog จึงเปรียบเสมือนเป็นช่องทางการเรียนรู้ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด 
  • ใช้ Blog เป็นช่องทางในการหาบุคลากรมาร่วมทำงานด้วย (Recruitment)
    ถ้าคุณวางภาพลักษณ์บริษัทของคุณว่าเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจแล้ว ผู้คนที่อยู่ในสายงานธุรกิจเดียวกันกับคุณก็จะให้ความสนใจใน Blog ของคุณด้วย เพราะคนเหล่านั้นก็ต้องการ update ข่าวสารในวงการให้กับตัวเองเหมือนกัน หากคนเหล่านี้เข้ามาโต้ตอบหรือพูดคุยกันใน Blog ของคุณ คุณอาจจะเห็นแววของบุคลากรที่น่าสนใจ และชักชวนเขาเพื่อเข้ามาเสริมศักยภาพให้กับองค์กรของคุณก็เป็นได้ 
  • ใช้ Blog เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ หรือไอเดียใหม่ๆ
    ด้วยความที่ Blog ดูเป็นกันเอง จึงให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการออกมาได้อย่างไม่ขัดเขิน ดังนั้นบริษัทของคุณสามารถเอา feedback ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้าของคุณ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น คุณสามารถลองนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ลงไปใน Blog แล้วดูว่าจะมีผู้คนสนใจมาน้อยแค่ไหน หรือว่าให้ feedback กลับมายังไงบ้าง 
  • Blog ช่วยให้เว็บของคุณอยู่อันดับต้น ๆ ใน Search Engine ได้
    Google และ Search Engine อื่น ๆ จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีการ update ข้อมูลบ่อย ๆ รวมถึงเว็บที่มีการทำ link ไปหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หรือเว็บที่มี link เข้ามาหามาก ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น คือสิ่งที่ Blog ช่วยคุณได้ เพราะ Blog ทำให้คุณ update ได้ง่ายแบบทุกวัน และยังทำ link ไปหาเว็บอื่นได้ง่าย และหาก Blog ของคุณน่าสนใจ ก็จะมีคนอ้างถึง Blog ของคุณ หรือทำ link เข้ามาหา Blog คุณได้ ลองพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ดูครับ แล้วเว็บ หรือ Blog ของคุณจะมีโอกาสได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Search Engine ได้ไม่ยาก

 

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใบงานที่ 6 เรื่อง Social Media

 Social Network หรือ Social Media
 
 Social network เป็นคำที่ใช้เรียกคอนเซ็ปต์ “โครงสร้างทางสังคม” แบบหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของคน ซึ่งเขาและเธอจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น เป็นเพื่อนกัน, เป็นเครือญาติกัน, มีความสนใจที่เหมือนกัน, มีความเชื่อที่เหมือนกัน, ตลอดจนรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด หรือประสบการณ์
เวลาเราใช้คำว่า Social Network มันจึงหมายถึงการพูดถึงตัวโครงสร้างความสัมพันธ์ในแบบ Social หรือพูดกันในเชิงวิชาการที่เรียกว่า ทฤษฎีเครือข่าย (Network theory) คือใน Social Network หนึ่งๆ มันจะประกอบไปด้วย Nodes และ Ties?โดย Nodes จะเป็นเหมือนกับคนๆ หนึ่ง หรือตัวละครคนหนึ่งที่อยู่ในเครือข่าย ส่วน Ties จะเป็น “ความสัมพันธ์” ระหว่างคนหรือตัวละครในเครือข่ายนั้นๆ
ถ้าเราลองวาดกราฟความสัมพันธ์ของคนในเครือข่ายออกมาก็จะเห็นว่ามันซับซ้อนมากๆ และยิ่งเราดูๆ ไปก็จะพบว่ามันมีรูปแบบของ Ties หลายแบบระหว่าง Nodes ต่างๆ โดยตัวเลขที่ได้ทำการวิจัยมาแล้วระบุว่า Social Network มีอยู่หลายระดับ จากระดับครอบครัว ระดับองค์กร ระดับประเทศ จนถึงระดับโลก และการที่คนสัมพันธ์กันในรูปแบบเครือข่ายนี้เองที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนในหลายๆ ทิศทาง อย่างรูปข้างล่างนี้ เป็นกราฟที่มาจาก LinkedIn Social Media ของคนทำงานชื่อดัง เราลองนึกดูว่า สีน้ำเงินคือเพื่อนที่ทำงานของเราในประเทศไทย ส่วนสีเขียวคือเพื่อนที่ทำงานในต่างประเทศ และสีส้มเป็นเพื่อนต่างวงการ ก็จะทำให้เราเห็นว่าเรามี Nodes จำนวนมาก แต่ว่า Ties ของเราแบ่งออกเป็น 3 แบบแบ่งไปตามพื้นที่ที่เพื่อนร่วมงานของเราอยู่ เป็นต้น




โดยรวมแล้ว Social Network หนึ่งๆ การพูดถึงความสัมพันธ์ในเชิงคอนเซ็ปต์ มันคือแผนที่ที่ระบุว่า Nodes แต่ละ Nodes มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น คนที่เป็นเพื่อนกัน โดยคนที่สัมพันธ์กันใน Social Network ก็จะถูกเรียกว่าเป็น Social contacts ของกันและกัน นอกจากนี้เมื่อพูดกันไปลึกๆ แล้วยังมีเรื่องที่ว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ใน Social Network แล้ว เราแต่ละคนมี Social capital กันแค่ไหนอย่างไรอีกด้วย

ส่วนคำว่า Social Media นั้นหมายถึงการใช้บริการ web-based และเทคโนโลยีทางด้าน mobile ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารไปสู่การปฎิสัมพันธ์โต้ตอบกันมากขึ้น  นักวิชาการอย่าง Andreas Kaplan และ Michael Haenlein ได้นิยาม Social Media ว่า “กลุ่มของแอพพลิเคชั่นบนอินเทอร์เน็ตที่สร้างบนระบบความคิดอันเป็นรากฐานของสังคม และทางเทคโนโลยี ด้วยแนวความคิดของ Web 2.0 และเปิดให้คนแลกเปลี่ยนเนื้อหาที่เกิดจากผู้ใช้” ความหมายของมันจึงเป็นการพูดถึงบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้ว เช่น Facebook, Twitter, Google+, LinkedIn ฯลฯ คล้ายๆ กับรูปแรกที่เราโชว์ด้านล่างนี้





อ้างอิงจาก  http://thumbsup.in.th/2011/08/how-social-network-different-from-social-media/

Social Media  แบ่งได้เป็น 6 ประเภท

(1) Blog คือ  หรือ เว็บล็อก (weblog) เป็นหน้าเว็บประเภทหนึ่ง ซึ่งคำว่า blog ย่อมาจากคำว่า weblog หรือ web log โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (ปูม, บันทึก) รวมกัน หมายถึง บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง ในปัจจุบันบล็อก ถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ฯลฯ และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยขณะนี้ได้มีผู้ให้บริการบล็อกมากมาย ทั้งแบบให้บริการฟรี และเสียค่าใช้จ่าย – Wikipedia  สรุปง่ายๆ Blog ก็คือ Website รูปแบบหนึ่ง ที่มีการจัดเรียง “เรื่อง” หรือ post เรียงลำดับ โดยเรื่องใหม่จะอยู่บนสุด ส่วนเรื่องเก่าสุดก็จะอยู่ด้านล่างสุด Blog อาจจะพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นของ ไดอารี่ online ก็เป็นได้ โดย Blog จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ได้ ไม่จำกัด ซึ่ง ไดอารี่ ก็ถือว่าเป็น Blog ในรูปแบบหนึ่ง

อ้างอิงจาก  http://www.basicstep.net/what-is-a-blog/

(2) Twitter และ Microblog อื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น Twitter คือ เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ โดยเรียกการส่งข้อความนี้ว่า ทวีต (อังกฤษ: Tweet) ซึ่งแปลว่า เสียงนกร้อง

อ้างอิงจาก  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

(3) Social Networking  คือ Social Network หรือ เครือข่ายสังคม (ชุมชนออนไลน์) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมลล์ วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก เป็นต้น

อ้างอิงจาก  https://sites.google.com/site/socialnetworkfc/social-network-khux-xari

(4) Media Sharing  คือ สังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเล่า เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทำขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์  ปัจจุบัน การสื่อสารแบบนี้ จะทำผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น


อ้างอิงจาก  http://www.marketingoops.com/media-ads/social-media/what-is-social-media/

(5) Social News and Bookmarking คือ วิธีการที่จะทำให้ผู้ใช้ internet สามารถ จัดเก็บ (store), แยกประเภท (classify), แบ่งปัน (share) และ ค้นหา (search) Internet bookmarks.

อ้างอิงจาก  http://www.tosdn.com/developer/social-bookmarking-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

(6) Online Forums คือ Social Media ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นเสมือนสถานที่ๆให้ผู้คนเข้ามาพูดคุยในหัวข้อพวกเขาสนใจซึ่งอาจเป็นเรื่อง เพลง หนัง การเมือง กีฬา สุขภาพ หนังสือ การลงทุน และอื่นๆอีกมากมายใด้ทำการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแสดงข้อมูลสินคค้าตลอดจนถึงการแนะนำสินค้าหรือบริการต่างๆ

อ้างอิงจาก http://www.slideshare.net/dargonbail/2-13433999

เว็บที่น่าสนใจ คือ ทรูปลูกปัญญา  http://www.trueplookpanya.com/new/





ข้อดี ค้นหาจากแหล่งรวมข้อมูลการศึกษา ความรู้ทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ศาสนา และธรรมะ ระดับชั้น อนุบาล ประถม ม.ต้น ม.ปลาย เป็นต้น

ข้อเสีย ต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจึงจะสามารถดู TV และ VDO ที่ต้องการและ โดยส่วนใหญ่จะใช้ได้ดีในเมืองใหญ่ๆเพราะมีอินเทอร์ตามต่างจังหวัดจะยังเข้าไม่ถึง

การประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา

โดยส่วนใหญ่ทรูปลูกปัญญาจะเป็นสื่อการสอนแบบฝาก ตัวไฟล์ VDO อยากให้การประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา คือ การเอาระบบ VDOCALL แบบ กลุ่ม เข้ามาใช้เพื่อจะใด้สดวกสบายมากขึ้น ทางเลือกสำหรับการเรียนการสอนที่สะดวกและประหยัดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงคุณมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว การเชื่อมต่อจะเป็นแบบ peer-to-peer voice over Internet protocol (VoIP)

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ใบงานที่4


Internet 2
หลายคนอาจจะเคยคิดจินตนาการกันว่าใน อนาคต Internet จะเป็นอย่างไร จะมี application ลักษณะใดให้ใช้งานบ้าง  คำถามนี้อาจจะตอบได้ไม่ง่ายนัก  แต่ถ้าเราดูจากการเติบโตของ Internet ตั้งแต่ในอดีตเราอาจจะพอเดาแนวโน้มของมันได้ .. Internet ในอดีตรองรับการทำงานที่ เป็น text mode เช่น remote login, file transfer, และ e-mail .. ปัจจุบัน มี web, low-quality audio/video, client-server ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบของ Internet ในอดีต     ถ้ามองจากข้อมูลที่วิ่งอยู่ใน Internet ตามนี้   ก็คงเดาได้ไม่ยากว่า Internet จะเข้าสู่ยุคของ multimedia จะมี application อย่าง telephony, video conference, HDTV ที่ทุกคนสามารถใช้งานได้จากเครื่องของตัวเอง Internet จะขยายตัวออกไปสู่ wireless components, embedded systems, และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เครื่อง PC เหมือนในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า app lications เริ่มจะมีให้เห็นบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็ยังทำได้ไม่เต็มที่นักและการใช้งานก็ยังคงจำกัดอยู่แค่บางจุดสาเหตุก็มาจากตัว Internet ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ออกแบบให้รองรับงานประเภท multimedia หรือ real-time applications ที่ต้องการการโต้ตอบอย่างรวดเร็ว และยังมีข้อจำกัดในการรองรับข้อมูล multimedia กับผู้ใช้จำนวนมากๆ .. การออกแบบ Internet ที่สามารถรองรับผู้ใช้จำนวนมากและยังใช้งานเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็น และนั่นก็เป็นที่มาของ Internet2 นี่ล่ะครับ
Internet2 (I2) เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า UCAID (University Corporation for Advanced Internet Development) .. โครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนา applications และ technology ที่จะใช้งานในเครือข่าย Internet ในอนาคต และพยายามเร่งให้ Internet เติบโตในเชิงของ application เร็วขึ้น .. เครือข่าย Internet2 จึงเป็นเสมือนกับเครือข่ายที่ใช้ทดลองและทดสอบการทำงานของ protocols, services, และ applications ใหม่ๆ เช่น IPv6, Multicasting และ Quality of Service (QoS) ซึ่งจะเอามาใช้งานในเครือข่าย Internet จริงๆ ในอนาคต ... เอาล่ะครับ เมื่อพอจะทราบแล้วว่า Internet2 คืออะไร ทีนี้ก็มาถึงตัวเครือข่าย ที่รองรับการทำงานกันดีกว่าครับ
Abilene : The Internet2 Backbone
Internet2 มีโครงสร้างพื้นฐานเป็นเครือข่ายความเร็วสูงขนาดใหญ่ เพื่อจำลองสภาพของ Internet ในอนาคตเครือข่ายนี้จะเป็นพื้นที่ๆ ใช้ทดสอบ applications, protocols, และ services ต่างๆ ที่สมาชิกของ Internet2 ได้คิดขึ้นมา.. ในปัจจุบันเครือข่าย Internet2 ให้บริการโดย Abilene ซึ่งเป็นเครือข่ายที่พัฒนาให้ใช้งานสำหรับ Internet2 โดยเฉพาะ.. เครือข่าย Abilene นี้พัฒนาโดย Cisco, Nortel, และ Qwest ประกอบด้วยโครงข่ายของ optical fiber มี core network ทำงานที่ OC-48 (2.4 Gbps) และ OC-12 (622 Mbps) ซึ่งเชื่อมจุดให้บริการที่เรียกว่า GigaPoPs (Gigabits Point-of-Presents) ของแต่ละพื้นที่เข้าด้วยกัน..เนื่องจากเครือข่ายเป็น optical fiber ที่ใช้ protocol SONET ดังนั้น protocol ที่ใช้รองรับการทำงานของ IP บน Abilene ก็คือ IP-over-SONET นั่นเอง เครือข่ายที่เป็น core นี้สนับสนุนโดย Qwest ครับ .. ส่วน Cisco และ Nortel จะสนับสนุนทางด้านอุปกรณ์ โดยแต่ละ GigaPoPs จะใช้ router Cisco 12008 ..มหาวิทยาลัยในแต่ละพื้นที่จะเชื่อมเครือข่ายของตนเองเข้ากับ GigaPoPs ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้โดยตรง หรือผ่านทาง regional networks (เช่น ISPs, NSPs) โดยใช้ protocol IP-over-SONET หรือ IP-over-ATM มีอัตรารับส่งข้อมูลเป็น OC-12, OC-3 หรือ DS-3 .. Internet2 มี requirement สำหรับมหาวิทยาลัยที่เชื่อมต่ออยู่ว่า endpoints ที่ PC จะต้องมีอัตรารับส่งข้อมูลอย่างต่ำสุด 100 Mbps .. เวลานี้ Abilene กำลังพัฒนาให้ backbone มีอัตราการรับส่งข้อมูลเป็น OC-192 (9.6 Gbps) และจะพัฒนาให้สูงขึ้นไปอีกในอนาคต .. Internet2 ไม่ได้บังคับว่ามหาวิทยาลัยในโครงการต้องเชื่อมต่อเข้ากับ Abilene เพราะมีหลายๆ มหาวิทยาลัยเชื่อมกับ vBNS ซึ่งเป็น backbone ของ Internet อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจะสะดวกกว่าหาก Internet2 เชื่อม Abilene กับ vBNS เข้าด้วยกัน อย่างใรก็ตาม การทดสอบต่างๆ ยังคงทำบนเครือข่ายของ Abilene เป็นหลัก เพราะ Abilene ได้รับเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยใน Internet2 จึงใช้ในการศึกษาวิจัยได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ vBNS จะให้บริการเชิงธุรกิจด้วย .

นอกจากจะเป็นเครือข่ายสำหรับการทดสอบแล้ว Internet2/Abilene ยังถือเป็นเครือข่ายเพื่อการศึกษาและวิจัย (Research & Education Networks) ระหว่างมหาวิทยาลัยในโครงการด้วย .. อืมม.. อันที่จริง สหรัฐมี R & E networks เยอะเหมือนกันครับ ถ้านับเฉพาะเครือข่ายหลักๆ ที่ใหญ่ขนาดคลุมพื้นที่ทั้งประเทศก็จะมี DREN, NREN, ESNet และ StarTAP ที่รัฐบาลสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย .. R & E network หลักๆ ทั้งหมดนี้ได้เชื่อมเข้าหากันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลงานวิจัยระหว่างกันได้ สะดวก นอกจากนี้ Internet2 ยังเชื่อมกับเครือข่ายเพื่อการศึกษาและวิจัยในต่างประเทศด้วย เช่น
  • ยุโรป (TERENA)
  • แคนาดา (CANARIE)
  • เอเซีย-แปซิฟิก (APAN)
  • ออสเตรเลีย (AARNET)
  • ญี่ปุ่น (JAIRC)
  • เกาหลี (APAN-KR)
  • สิงคโปร์ (SingAREN)
  • ไต้หวัน (TANet2)
  • ฮ่องกง (JUCC)

การเชื่อมต่อ R & E Network นี้ทำให้เกิดความร่วมมือและแลกเปลี่ยนงานวิจัยต่างๆ มากขึ้น การช่วยเหลือกันในทางเทคนิคก็ทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่า Internet ธรรมดาที่เราใช้กันอยู่ดูๆ ไปจะกลายเป็นว่า Internet ที่เราใช้กลายเป็นเครือข่ายทางธุรกิจ ในขณะที่ Internet2 จะเป็นเครือข่ายคล้าย Internet ในอดีตซัก 10 ปีที่แล้วที่เน้นเรื่องการศึกษาและงานวิจัยมากกว่าพูดถึงงานวิจัยเรามาดูเรื่องงานวิจัยบน Internet2 กันบ้างดีกว่าจะได้พอมองภาพอนาคตของ Internet ออกในปัจจุบัน Internet2 ให้ความสนใจกับงานวิจัยอยู่ 3 สา ขาหลักๆ ครับ คือ Middleware Engineering และ Advanced Applications
Middleware 
     middleware คือ software components ทำงานบนเครือข่ายและอยู่ตรงส่วนเชื่อมต่อระหว่าง functions ของเครือข่ายและ applications ตัวอย่างของ middleware ที่รู้จักกันดีก็คือ CORBA และ Java RMI นั่นเอง ข้อดีของ middleware ก็คือลดความซับซ้อนในการสร้าง applications เราสามารถเขียน applications ที่เรียกใช้งาน remote method ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงการติดต่อผ่านเครือข่าย ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจะเรียกใช้ method เหล่านั้นได้ที่ไหน ดังนั้นการพัฒนา application จึงเป็นไปได้ง่าย รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดไปได้มาก ในปัจจุบัน Internet2 เริ่มพัฒนา architecture ของ middleware เพื่อรองรับการทำงานลักษณะนี้ในอนาคต สิ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับ middleware architecture ก็คือ Identity, Authentication, Directories, Authorization Identity คือการกำหนดตัวตนของ components ที่ใช้งาน ทั้ง users, computers, services, groups เหมือนกับเราใช้ e-mail ระบุตัวตนของเราใน Internet หรือใช้ UIN ระบุตัวตนของเราใน ICQ นั่นล่ะครับ ทีนี้การจะยืนยันว่าเราเป็น identity ที่เราอ้างจริงๆ ก็ต้องใช้ Authentication เข้ามาเป็นกลไกในการตรวจสอบ ซึ่งมีทางเลือกมากมายเช่น password (e.g. cleartext password, LDAP, Kerberos), certificate-based, OTP, biometrics เป็นต้น .. เมื่อตรวจสอบ identity ได้ก็จะสามารถเข้าถึง characteristics ต่างๆ ของ identity นั้นได้จาก directories เช่น LDAP.. และสุดท้าย identity นั้นจะสามารถทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนก็จะขึ้นอยู่กับกลไกของ authorization ปัจจุบันมี middleware ที่พัฒนาขึ้นมาบนโครงสร้างของ Internet2 แล้วหลายอย่างครับ อย่างเช่น Shibboleth ซึ่งเป็น web access control component และ SPARC (Space Physics and Astronomy Reserach Collaboratory) ซึ่งเป็น library/toolbox สำหรับใช้ในการศึกษาทางอวกาศและดาราศาสตร์
Engineering
ในส่วนของ engineering เป็นงานทางด้านวิศวกรรมเครือข่ายเป็นหลัก ดังนั้นก็จะเกี่ยวข้องกับ protocol ในระดับของเครือข่าย สำหรับ Internet2 ได้แบ่งงานทางวิศวกรรมออกเป็น 7 กลุ่มดังนี้ครับ
1.            IPv6 Working Group เป็นกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับ IPv6 โดยตรง เพื่อดูว่า IPv6 จะสามารถรองรับการทำงานของ Internet2 ได้อย่างไรบ้าง
2.            Measurement Working Group จะทำการตรวจวัดและเผยแพร่ผลการตรวจวัดการทำงานของเครือข่าย Abilene/Internet2 รวมถึงการออกแบบเครื่องมือตรวจวัดค่าต่างๆ ในเครือข่าย
3.            Multicast Working Group วางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการทำ multicasting ตั้งแต่ระดับ backbone, gigaPoPs, จนถึง members ในเครือข่าย
4.            Quality of Service Working Group เน้นการสนับสนุนการให้บริการ QoS โดยใช้ Differentiated Services (DiffServ) ปัจจุบัน Internet2 มีเครือข่ายที่รองรับการทำงานของ QoS แล้ว เรียกว่า QBone
5.            Routing Working Group รับผิดชอบการออกแบบและดูผลกระทบของการทำ routing แบบต่างๆ ในเครือข่าย Internet2
6.            Security Working Group ศึกษาเทคโนโลยีทางด้าน network security เผยแพร่ความรู้ให้กับสมาชิก Internet2 และให้คำปรึกษาในการตัดสินใจในเรื่องของ Security
7.            Topology Working Group เน้นการศึกษาโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย Internet2, gigaPoPs, Campus Networks, Exchange Points ต่างๆ เพื่อจะได้มั่นใจว่าสามารถรองรับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงการสำคัญในส่วนของ Internet2 Engineering ก็คือโครงการ QBone (Quality of Service Backbone) ครับ... QBone เป็น experimental backbone ที่สนับสนุนการให้บริการ QoS โดยใช้วิธีของ Differentiated Service (เดี๋ยวจะเขียนให้อ่านเร็วๆ นี้ครับ) เพราะ flexibility, scalability, และ interoperability อันที่จริง QBone ไม่ได้เป็น backbone จริงๆ ในทางกายภาพ แต่เป็น overlay network คือเป็น network ที่วางซ้อนอยู่บน physical network ของ Abilene อีกที โดยที่มันจะทำงานเสมือนเป็น backbone อันนึงจริงๆ ตอนนี้ QBone สามารถใช้งานได้จริงๆ ในกลุ่มมหาวิทยาลัย Internet2 โดย QBone จะมีบริการที่เรียกว่า QBone Premium Service (QPS) ถือว่าเป็นบริการระดับสูงสุดของ DiffServ โดยจะ guarantee ว่าไม่มี loss และ jitter (delay variation) จะไม่เกิน worst-case ตามทฤษฎียกเว้นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ multimedia traffic ต้องการเพราะถ้าควบคุม jitter ได้ก็จะคำนวณ buffer ได้และจะได้คุณภาพของภาพที่ดี อันที่จริง QoS บน Abilene ของ Internet2 ได้เอาไป demo และได้รางวัล Most Captivative and Tuned Award จากงาน SC2000 ครั้งที่ผ่านมา (SC2000 หรือ SuperComputing 2000 ไม่ใช่ SimCity 2000 นะครับ เป็น annual conference ใหญ่ที่สุดงานนึง มีผู้เข้าร่วมฟังเป็นพันคนเชียวล่ะครับ หัวข้อของ conference เน้นเรื่อง high performance computing เป็นหลัก นอกจากการเสนองานวิจัยในเชิงวิชาการแล้วก็จะมีรางวัลสำหรับงานวิจัย หรือการทดลองที่ทำผลงานได้ดีทั้งทางด้าน algorithm, computing, และ networking)
Applications
สุดท้ายเรามาดูเรื่องของ applications กันบ้างครับ.. ใน Internet2 นี้มี application ที่น่าสนใจดังนี้ครับ
  • Tele-immersion/Tele-cubicle เป็นการสร้างสภาพเสมือนจริงสำหรับการทำงานร่วมกันโดยที่ผู้ร่วมงานไม่จำเป็น ต้องอยู่ในที่เดียวกัน ผมคิดว่าหลายๆ คนคงเดาออกว่า technology เบื้องหลัง tele-immersion นี้ก็คือ virtual reality นั่นเอง ในกรณีของ tele-immersion จะเอา VR มาใช้ในการสร้างสภาพเสมือนจริงสำหรับผู้ใช้แต่ละจุด ใบหน้าของผู้ใช้จะถูก sampling และ synthesis เป็นภาพสามมิติที่จะปรากฏบนจอภาพของสมาชิกอื่นๆ  ลองจินตนาการว่าเป็น virtual room ที่เราเห็นหน้าคู่สนทนาจริงๆ สามารถหยิบจับวัตถุต่างๆ ที่จำลองขึ้นมาในห้องนั้นได้ tele-immersion คาดว่าจะถูกใช้ในงานประเภท CAD ที่สามารถร่วมกันออกแบบ ทดสอบ simulate ฯลฯ ได้ในห้องทำงานเสมือน หรืออาจจะได้ใช้งานทางการแพทย์ในลักษณะของการประชุมเพื่อวิเคราะห์ผลการตรวจ ต่างๆ โดยที่แพทย์ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาพบกัน..application ลักษณะนี้เป็น application แบบ real-time/interactive ซึ่งต้องการการประมวลผล และ ช่องทางสื่อสารที่รวดเร็ว Internet2 จะมีส่วนในการรับส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลระหว่างผู้ใช้นั่นเอง
  • Digital Libraries เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก ARPA, NASA และ NSF ดูจากชื่อก็คงเดาได้ไม่ยากนะครับ มันก็คือห้องสมุด digital ที่สามารถสืบค้นได้ง่าย ไมเพียงแต่ข้อมูลที่เป็น text แต่จะรวมไปถึงข้อมูลทุกอย่างที่สามารถเก็บในรูปแบบ digital ได้เมื่อเราสามารถสร้าง digital libraries ได้ การยืม-คืนสื่อเหล่านี้ก็จะสามารถทำได้ทางเครือข่าย สิ่งที่จำเป็นสำหรับเครือข่ายก็คือต้องสามารถส่งข้อมูล digital ต่างๆ ได้อย่างราบเรียบ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็น stream อย่าง audio/video.. สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือเมื่อเราสามารถเก็บข้อมูลเป็น digital ได้ เราก็สามารถจะทำสำเนา แก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ง่าย โดยไม่ทำให้คุณภาพของเอกสารลดลง ปัญหาที่คณะทำงานของ Digital Libraries เป็นห่วงจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่าง digital libraries ที่อยู่ในที่ต่างๆ แต่จะเป็นเรื่องของการป้องกันการ copy เรื่องของลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางปัญญา
  • Virtual Laboratories เป็น solution สำหรับการใช้งานอุปกรณ์ และทำการทดลองร่วมกันระหว่างนักวิจัยหรือนักศึกษาที่อยู่ต่างสถาบันกันผ่าน ทางเครือข่าย เนื่องจากว่าอุปกรณ์สำหรับทำการทดลองบางอย่างมีราคาแพงมาก หรือมีข้อจำกัดในการทดลองเนื่องจากสถานที่หรือเวลา ยกตัวอย่างเช่นการทดลองทางดาราศาสตร์ที่ต้องใช้กล้องดูดาวจับภาพ ซึ่งจะมีปัญหาว่าไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องเพราะโลกเราหมุนอยู่ตลอด เวลา หรือการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะบางจุดบนโลก เช่นการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ ฯลฯ .. อันนี้เป็นตัวอย่างนะครับ . Virtual laboratories จึงเป็นการใช้เครือข่ายความเร็วสูงในการติดต่อสื่อสารที่นักวิจัยทั่วโลก สามารถใช้ทำการทดลองร่วมกัน วิเคราะห์ผล และหาข้อสรุปจากปัญหาหนึ่งๆ ได้อย่างสะดวก เครือข่ายจะเชื่อมต่อกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ฐานข้อมูล supercomputer สำหรับวิเคราะห์ผล มี tool สำหรับทำงานร่วมกัน (เช่น tele-immersion/tele-cubicle) และมี software ที่ใช้ในการทำการทดลองร่วมกัน ในปี 1995 Internet2 ได้สร้าง infrastructure ในการรองรับการใช้งาน virtual laboratories โดยคลุมพื้นที่ทั่วสหรัฐ เรียกว่า I-Way I-Way ได้ถูกนำไปสาธิตใน SuperComputing 95 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปใด้ในการสร้าง virtual lab. .. I-Way ทำให้เกิดโครงการตามมาอีกมากมายเช่น ARPA Globus, DOE Legion และ Gigabit CORBA ซึ่งเป็น middleware สำหรับสนับสนุนการทำ virtual laborat ories และการทำงานวิจัยอื่นๆ
ในส่วนของ Application ใน Internet2 ยังมี working group ทางด้าน Digital Imaging, Digital Video, Health Science, Arts and Humanities, Voice-over-IP และอื่นๆ อีกมากมาย เวลานี้ก็ก็เริ่มมีการวางแนวทางของ application ออกมาบ้างแล้ว ใครที่สนใจว่าอนาคต application เหล่านี้จะเกิดขึ้นมาบน Internet ได้อย่างไรก็คงต้องติดตามกันต่อไป
 
 
 




















 

ใบงานที่ 5

1. คุณคิดว่า Web Services คืออะไร 

ตอบ

W e b   S  e  r  v  i  c  e  s   คื  อ  อ  ะ ไ  ร  เ  ว็ บ  เ  ซิ  ร์  ฟ  วิ  ส  คื  อ  ซ  อ  ฟ  ต์  แ  ว  ร์  ที่  ช่ ว  ย   ใ  น   ก  า  ร  แ  ล  ก   เ ป  ลี่  ย  น ข้  อ  มู  ล  ร  ะ  ห ว่ า  ง  ค  อ  ม  พิ ว  เ  ต  อ  ร์  ผ่ า  น  ร   ะ บ บ อิ  น   เ  ต   อ ร์   เ  น็  ต
Web Services คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ XML เว็บเซอร์วิสมีอินเทอร์เฟส ที่ใช้อธิบายรูปแบบข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้  ลักษณะการให้บริการของ Web Services  นั้น จะถูกเรียกใช้งานจาก application อื่นๆ ในรูปแบบ RPC (Remote Procedure Call) ซึ่งการให้บริการจะมีเอกสารที่อธิบายคุณสมบัติของบริการกำกับไว้ โดยภาษาที่ถูกใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนคือ XML ทำให้เราสามารถเรียกใช้ Component ใด ๆ ก็ได้ ใน ระบบ หรือ Platform ใด ๆ ก็ได้ บน Protocol HTTP ซึ่งเป็นProtocol สำหรับ World Wide Web หรืออินเทอร์เน็ต อันเป็นช่องทางที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในการติดต่อสื่อสารกันระหว่าง Application กับ Application ในปัจจุบัน
 





2.  มีหลักการทำงานอย่างไร
ตอบ
การทำงานของ Web Services ประกอบไปด้วย มาตรฐานหลัก 4 อย่าง ดังนี้
1. XML(Extensible Markup Language) เป็นภาษามาตรฐานที่ทุกระบบสนับสนุน ทำให้ข้อมูลที่มีโครงสร้างของภาษา XML จะถูกนำไปประมวลผลต่ออย่างอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย ภาษา XML จึงถูกนำมาใช้เป็นภาษามาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลของ Web Services
2. SOAP (Simple Object Access Protocol)  เป็นมาตรฐานของเทคโนโลยี Distributed Objects โดยทำหน้าที่ส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ในรูปแบบของ XML ทำให้เรียกใช้งานโปรแกรมข้ามระบบผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้
3. WSDL (Web Services Description Language) เป็นภาษามาตรฐานที่ใช้สำหรับอธิบายการใช้งานโปรแกรมที่เปิดให้บริการ ซึ่งเขียนขึ้นตามแบบมาตรฐาน XML ดังนั้น WSDL จึงเป็นเสมือนคู่มือให้กับระบบ เพื่อเรียนรู้วิธีการเรียกใช้งาน Web Services
4. UDDI (Universal Description, Discovery, and Integration) เป็นระบบมาตรฐานในการอธิบายและค้นหา Web Services โดยเป็นตัวกลางให้ provider  มาลงทะเบียนไว้ โดยใช้ไฟล์ WSDL บอกรายละเอียดของบริษัทและบริการที่มีให้ ทำให้ Requestor สามารถค้นหาและทราบว่าบริษัทมีผลิตภัณฑ์และบริการอะไรบ้าง สามารถติดต่อขอดำเนินธุรกิจการค้ากับบริษัทได้โดยอัตโนมัติผ่านทาง Web Services 




 

3.  ขอบข่ายของ Web Services มีอะไรบ้าง และทำหน้าที่อะไร
ตอบ
ขอบข่ายของ Web Service
พื้นฐานของ Web Service คือ XML และส่วนใหญ่จะใช้ HTTP แต่อาจจจะใช้อินเทอร์เน็ตโพรโทคอลอื่นอย่างเช่น SMTP หรือ FTP ก็ได้ แต่จะพบว่า HTTP ก็เป็นที่รู้จักกันดี และไปได้ทั่วทุกแห่งที่มี internet ส่วน XML คือภาษาสากลที่สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ เพื่อให้เกิดกิจกรรมระว่าง client และบริการ หรือระหว่างส่วนประกอบต่างๆ เบื้องหลัง Web server ก็คือ ข้อความ XML จะถูกแปลงให้การขอบริการจาก Middle ware และผลที่ได้ก็จะแปลงกลับมาในรูป XML
คุณลักษณะพื้นฐานของเว็บเซอร์วิสมีดังนี้
· เว็บเซอร์วิสเป็นซอฟต์แวร์คอมโพเนนท์ที่ระบุตำแหน่งโดยใช้ URI
· อินเตอร์เฟสและการติดตั้งของเซอร์วิสจะนิยาม อธิบาย และค้นหาโดยใช้ ภาษาXML
· เว็บเซอร์วิสสนับสนุนการเรียกใช้จากซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่นๆ ผ่านโพรโทคอลอินเตอร์เน็ต
· เว็บเซอร์วิสใช้เอกสารแบบ XML ในการส่งข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้
· เว็บเซอร์วิสช่วยในการเชื่อมโยงโปรแกรมประยุกต์ต่างแพลตฟอร์ม (Cross-platform Integration) ผ่านอินเตอร์เน็ต
· นักพัฒนาสามารถพัฒนาเว็บเซอร์วิสได้โดยใช้โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆเช่น Java, C, C# หรือ Visual Basic และสามารถพัฒนาโดยการเปลงซอฟต์แวร์คอมโพเนนท์ที่มีอยู่ให้เป็นเว็บเซอร์วิส
· เว็บเซอร์วิสจะไม่รวมถึงการจัดการส่วนแสดงผลเหมือน HTML
· เว็บเซอร์วิสจะเป็นซอฟต์แวร์คอมโพเนนท์แบบ loosely couple ดังนั้นแต่ละคอมโพเนนท์จะเป็นอิสระและมีฟังก์ชันที่สมบูรณ์ในตัว
· เราสามารถที่จะค้นหาและเรียกใช้เว็บเซอร์วิสจาก registry ที่เป็นแบบ public หรือ private โดยใช้มาตรฐานกลางเช่น UDDI และ ebXML
· เว็บเซอร์วิสสามารถที่จะเรียกใช้โดย client ต่างๆ ได้เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ พีดีเอ


4.  Model ของ Web Services คืออะไร และแต่ละส่วนทำหน้าที่อะไร
ตอบ
Model Web Service
โมเดลการทำงานของ Web Services
กระบวนการการทำงานของเว็บเซอร์วิสจะมีขั้นตอนการทำงานเช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ เซอร์วิสที่ใช้ Distributed Computing ซึ่งเราสามารถที่จะแบ่งบทบาทองค์ประกอบของเว็บเซอร์วิสได้เป็นสามส่วน โดยทั้งสามองค์ประกอบมีความสัมพันธ์ดังแสดงในรูปที่ 2 และสามารถอธิบายได้ดังนี้
· ผู้ให้บริการ (Service Provider): ผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ในการพัฒนาและติดตั้งเว็บเซอร์วิส และเป็นผู้ที่นิยามความหมาย
ของเซอร์วิสและลงทะเบียนเซอร์วิสกับ Service Registry
· ผู้ใช้บริการ (Service Requestor): ผู้ใช้บริการจะเป็นผู้เรียกใช้เว็บเซอร์วิส โดยอาจทำการค้นหาเซอร์วิสจากเซอร์วิสได
เร็กทอรี่ แล้วทำการเรียกใช้เซอร์วิสจากผู้ให้บริการ
· Service Registry: หรืออาจเรียกว่า Service Broker มีหน้าที่ในการรับลงทะเบียนและช่วยในการค้นหาเว็บเซอร์วิส
Service Registry จะเก็บรายละเอียดของเว็บเซอร์วิสต่างๆเช่น นิยาม และตำแหน่งของเว็บเซอร์วิส ทำหน้าที่คล้ายกับ
สมุดโทรศัพท์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาเซอร์วิสที่ต้องการได้

 
 

5.  ถ้าคุณจะเรียกใช้งาน Web Services จะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ตอบ
การเรียกใช้งาน Web Services
ขั้นตอนการใช้งาน Web Services 
ขั้นตอนที่ 1 : Service Requestor ค้นหาบริการผ่าน Service Registry ซึ่งทำให้เรา ได้ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของการบริการ ที่ตั้ง นั้นๆ (หากเรารู้อยู่แล้วว่าการบริการที่เราจะใช้อยู่ที่ไหน มีเอกสาร WSDL เป็นอย่างไร ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ของการบริการ และเอกสาร WSDL บรรยายคุณลักษณะของการบริการ
ขั้นตอนที่ 2 : ติดต่อขอใช้บริการผ่าน Web Application หรือเขียนโปรแกรมขึ้นมาเรียกใช้เมธอดของ Web Service นั้น ๆโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในเอกสาร WSDL ที่มีอยู่
ขั้นตอนที่ 3 : ผู้ให้บริการ (Service Provider ) ส่งผลลัพธ์กลับมายังผู้เรียกใช้บริการ (Service Requestor)

 

6.  คุณคิดว่า Web Services มีประโยชน์อย่างไร สามารถนำไปพัฒนาเว็บทางด้านใดได้บ้าง
ตอบ
1.Web Services ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจากแอพพลิเคชันที่ต่างกันเป็นไปโดยง่าย โดยแอพพลิเคชันนั้นๆ สามารถเขียนด้วย Java และรันอยู่บน Sun Solaris Application Server หรืออาจจะเขียนด้วย C++ และรันอยู่บน Windows NT หรืออาจะเขียนด้วย Perl และรันอยู่บนเครื่อง Linux ซึ่งมาตรฐานของ Web Service ทำให้อินเทอร์เฟซของแอพพลิเคชันเหล่านี้ ถูกอธิบายโดย WSDL และทำให้อยู่ในมาตรฐานของ UDDI หลังจากนั้น จึงสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันโดย XML ผ่าน SOAP อินเตอร์เฟซ
2.Web Services สามารถถูกเรียกใช้ภายในองค์กรเองหรือจากภายนอกองค์กร โดยผ่านไฟร์วอล์ ดังนั้นจึงมีองค์กรใหญ่ๆ มากมาย กำลังพัฒนาระบบที่มีอยู่ของตน ให้เข้ากับ Web Services ซึ่งนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจาก Web Services สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำงานขององค์กร อีกทั้งลดค่าใช้จ่ายในการจัดการทรัพยากรขององค์กรได้อีกทางหนึ่ง
3.นอกจากนั้น Web Services ยังสามารถใช้ร่วมกับ Web Application โดยส่งผ่านข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วยซึ่งนับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือหุ้นส่วน ถึงแม้จะต้องคำนึงถึงระบบรักษาความปลอดภัย และการจัดการรายการของข้อมูลอยู่ก็ตาม แต่ Web Services ได้ใช้มาตรฐานทั่วไปของ internet เรื่องดังกล่าวจึงนับเป็นเรื่องธรรมดาของการสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
ประโยชน์ของการใช้ Web Service
1. การเกิดพันธมิตรทางการค้าโดยการค้นหาของ UDDI
2. การทำธุรกิจการค้าและบริการเป็นไปโดยอัตโนมัติในระดับ (A2A) โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ผ่านทาง Webservices
3. ลดต้นทุนในด้านพัฒนาระบบโดยไม่จำเป็น สามารถขอบริการจาก Web Services
4. ขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้ามีความคล่องตัว สามารถใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆภายใต้ระบบงานที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว และคุ้มค่า
5. การพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลทางธุรกิจสอดคล้องกับผู้ใช้แบบร่วมกันและแบ่งตามส่วนของแต่ละกลุ่มโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่
6. ง่ายต่อการนำไปใช้งานเนื่องจากในปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ใช้ช่วยเหลือในการพัฒนา  Web Services
 
 
 

7.  จากที่ได้เรียนรู้กับคำถามดังกล่าวแล้ว คุณคิดว่า Web Services กับ Web Appcation มีความเหมือนหรือว่าต่างกันกัน อย่างไร จงอธิบาย
ตอบ
- Web application นั้น หลักการก็คือให้คนทั่วไปเข้ามาใช้งาน โดยการคลิก การพิมพ์ เท่านั้นเอง หรืออีกอย่าง ตัว web application มันก็คือ application ที่อยู่บนเว็บ หรือ บนอินเตอร์เน็ตเพื่อให้ User ใช้งานนั่นเอง
- Web Service ก็เป็น application ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตเช่นกัน แต่การใช้งานจะไม่เหมือนกับ web application ตรงที่ User ไม่สามารถใช้งานมันได้โดยตรง จะต้องใช้งาน application ซึ่งอาจจะเป็น web application ที่พัฒนามาแล้วเรียกใช้งานเว็บเซอร์วิสอีกทีหนึ่ง หรือจะเป็น application (ไม่ใช่เว็บ) ที่พัฒนามาเพื่อเรียกใช้งานเว็บเซอร์วิสอีกที โดยที่ application เหล่านี้จะถูกพัฒนาบนอุปกรณ์ใดๆ ก็ได้เพื่อให้ได้ใช้งานได้สะดวก จึงกล่าวว่า web services เป็นโปรแกรมแอพพลิเคชั่นที่ถูกสร้างมาเพื่อให้ application ใช้งานนั่นเอง

Web application
 
 


Web Service